Abstract:
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขอบเขตอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในการชี้มูลความผิดทางวินัย เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและผลกระทบจากการไต่สวน ชี้มูลความผิดทางวินัยฐานความผิดอื่นนอกจากความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปัญหาความไม่สอดคล้องกันในการตีความกฎหมายระหว่าง ศาล คณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในการตีความความผิดที่เกี่ยวข้อง และเพื่อศึกษาและหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการดำเนินการทางวินัยกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชี้มูลและส่งสำนวนฐานความผิดที่เกี่ยวข้องโดยไม่ได้ชี้มูลความผิดทางวินัยฐานทุจริต โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางเอกสาร
จากการวิจัยพบว่า การดำเนินการทางวินัยภายใต้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในประเทศไทยตามหลักการตีความกฎหมายมหาชน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีอำนาจไต่สวนและชี้มูลในการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ซึ่งเป็นสามฐานความผิดหลักเสียก่อน จึงจะสามารถดำเนินการกับความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นในคราวเดียวกันได้ ตามแนวทางการตีความตามภาษาและไวทยากรณ์ ที่บทกฎหมายกำหนดคำว่า ความผิดที่เกี่ยวข้องไว้อย่างชัดเจน และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ระบบโครงสร้างของกฎหมายที่อยู่บนพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ การที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตีความฐานอำนาจในการชี้มูลความผิดที่เกี่ยวข้องให้รวามความผิดทางวินัยทุกฐานความผิดเป็นการตีความกฎหมายที่ขยายอำนาจเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่ยอมรับการตีความดังกล่าวที่เป็นไปตามหลักการตีความกฎหมายมหาชน
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนของกฎหมาย จึงเห็นควรแก้ไขบทบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กำหนดความผิดทางวินัยที่เกี่ยวข้อง ให้หมายถึงเฉพาะ ความผิดวินัยฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางวินัยฐานทุจริต อันจะทำให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยสามารถดำเนินการทางวินัยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย