Abstract:
การตรวจพยานหลักฐานในคดีอาญา คือ กระบวนการที่คู่ความแต่ละฝ่ายจะมีโอกาสทราบว่าพยานหลักฐานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งประสงค์จะอ้างเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานของฝ่ายตน
เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงก่อนการพิจารณาในคดีอาญา โดยก่อนการตรวจพยานหลักฐานมีขั้นตอน
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การยื่นบัญชีระบุพยานซึ่งเป็นระเบียบวิธีพิจารณาที่ใช้กับการอ้างพยานหลักฐานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคล พยานผู้เชี่ยวชาญ
เพราะการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยาน ก็เพื่อให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมีโอกาสทราบล่วงหน้าว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะอ้างพยานหลักฐานใดบ้าง เพื่อใช้เป็นพยานในคดี
ประเทศไทยใช้ระบบการดำเนินคดีอาญาโดย “หลักการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ” ที่ถือว่ารัฐเป็นผู้มีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่บุคคลภายในรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรและหน่วยงานที่มีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม โดยใช้วิธีการค้นหาความจริง
แบบตรวจสอบข้อเท็จจริง (Examination System) ในระบบกฎหมาย Civil Law และได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้วิธีการค้นหาความจริงแบบต่อสู้ระหว่างคู่ความ
ในระบบกฎหมาย Common Law จึงอาจกล่าวได้ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ของประเทศไทย มีลักษณะของการผสมผสานระหว่างระบบไต่สวน (Inquisitorial System) และระบบกล่าวหา (Adversarial System) แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏว่า ศาลมักดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีตามแนวทางของระบบกล่าวหาเป็นหลัก โดยคู่ความทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างมีหน้าที่ต้องค้นหาความจริงและรวบรวมพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อประโยชน์ในคดีของตน
โดยศาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยควบคุมการพิจารณาและการดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ศาลจะพิจารณาและพิพากษาคดี โดยอาศัยพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำมาเสนอต่อศาล
จากการศึกษาพบว่าบทบัญญัติมาตรา 173/1 และมาตรา 173/2 แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญานั้น ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกับหลักการเปิดเผยพยานหลักฐานก่อนการพิจารณาคดี อันเป็นแนวคิดสำคัญที่ได้รับการพัฒนาในระบบกฎหมาย Common Law ที่ให้ความสำคัญต่อหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Fair Trial) แต่จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติที่ดูเสมอภาค แต่เมื่อพิจารณาในเชิงเนื้อหาสาระแล้ว อาจขัดกับหลักความเสมอภาค กล่าวคือ พนักงานอัยการในฐานะตัวแทนของรัฐมีความพร้อมในด้านข้อมูลและพยานหลักฐาน เนื่องจากผ่านกระบวนการสอบสวนมาแล้วโดยละเอียด แต่จำเลยมักเป็นบุคคลธรรมดาที่ขาด ความรู้ความเข้าใจทางกฎหมาย ทรัพยากร และเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการต่อสู้คดี ด้วยเหตุนี้ กระบวนการดังกล่าว จึงอาจเป็นการปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ในสถานะไม่เท่าเทียมกัน ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม
ดังนั้น จึงควรมีการแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติมาตรา 173/1 และมาตรา 173/2 เพื่อให้จำเลยมีโอกาสได้รับทราบว่าโจทก์มีพยานหลักฐานใดบ้างที่จะนำมาพิสูจน์ความผิดกับตน และจะมีระยะเวลาที่เพียงพอในการตรวจสอบพยานหลักฐานและแสวงหาพยานหลักฐานก่อนการยื่นบัญชี
ระบุพยานของตน อันสอดคล้องกับมาตรา 229/1 เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับจำเลยมีความพร้อม
ในการเตรียมการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรม