Abstract:
การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลเทคโนโลยีเสมือนจริงสำหรับหลักสูตรฝึกช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่หัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลในนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (Mae Fah Luang University Basic Life Support Vertual Reality: MFU BLiS VR) ใช้กรอบแนวคิดการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (basic life support: BLS) ในผู้ใหญ่ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาลของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาปี 2563 ซึ่งใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์การสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริง (virtual reality: VR) แสดงผลสามมิติ ให้ผู้เรียนสามารถเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จำลองนั้น โดยผู้เรียนดูสื่อออนไลน์ประกอบการเรียนรู้และฝึกทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพด้วยตนเองได้ที่ทุกที่ทุกเวลาตามสะดวก กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเจาะจงเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จำนวน 70 คน (กลุ่มควบคุม 35 คน กลุ่มทดลอง 35 คน) ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนมีนาคม - ธันวาคม 2565 เลขที่ใบรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ คือ COA 090/2022 จากคณะกรรมการจริยธรรมในมนุษย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยประกอบด้วยการพัฒนาและปรับปรุงนวัตกรรมจำนวน 3 รอบ และการทดลองนวัตกรรมจำนวน 2 รอบ กลุ่มตัวอย่างทุกคนจะได้รับการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกำหนด ได้แก่ (1) การทำแบบทดสอบก่อนเรียนด้วยการประเมินความรู้และทักษะ BLS (2) ดูคลิปวิดีโอ (3) ให้ฝึกทักษะด้วยตนเองที่บ้านกับหมอน จานวนอย่างน้อย 1 ครั้ง และ (4) ฝึกทักษะการปฏิบัติ BLS และการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติร่วมกับเพื่อนและครูในชั้นเรียน กลุ่มทดลองจะได้เข้าใช้ MFU BLiS VR ก่อนการฝึกทักษะปฏิบัติในชั้นเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 3 ชุด ได้แก่ (1) แบบประเมินความรู้เกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (2) แบบประเมินทักษะการปฏิบัติการฝึกช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ และ (3) แบบประเมินความพึงพอใจการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับการฝึกช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ เครื่องมือทั้งหมดผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ผลการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหารายข้อ มีค่าระหว่าง 0.66 – 1 ค่าความเที่ยงแบบประเมินความรู้ได้ค่าสหสัมพันธ์ภายในชั้นเท่ากับ 0.76 แบบประเมินความพึงพอใจได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.93 และแบบสังเกตทักษะการปฏิบัติการฝึกช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติได้ค่าค่าสัมประสิทธิ์โคเฮนแคปปาเท่ากับ 0.63 ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยโปรแกรมวิเคราะห์สถิติสาเร็จรูป วิเคราะห์ข้อมูลพบการแจกแจงของข้อมูลไม่เป็นโค้งปกติจึงใช้สถิตินอนพาราเมตริก ข้อมูลส่วนบุคคลวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และไคสแควร์เปรียบเทียบคะแนนระหว่างสองกลุ่มด้วยสถิติแมนวิทนีย์ ยู เทส และเปรียบเทียบภายในกลุ่มด้วยสถิติวิลคอกซัน นำเสนอแบบบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า “MFU BLiS VR” แสดงผลมุมมอง 360 องศา เป็นภาพ 3 มิติ ควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยอุปกรณ์ควบคุมทิศทางขนาดพกพาซึ่งเชื่อมต่อกับจอภาพสวมศีรษะ โดยต้องมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าเรียนรู้ได้ ผู้เล่นสามารถหันศีรษะไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อมองภาพ ซึ่งตัวละครเป็นนักศึกษาที่ให้การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานผู้ป่วยผู้ใหญ่นอกโรงพยาบาลใน 4 สถานการณ์ ได้แก่ (1) ผู้ป่วยไม่หายใจ แต่มีชีพจร (2) ผู้ป่วยไม่หายใจ ไม่มีชีพจร และต้องช็อกไฟฟ้า (3) ผู้ป่วยไม่หายใจ ไม่มีชีพจร และไม่ต้องช็อกไฟฟ้า และ (4) ผู้ป่วยหายใจปกติ มีชีพจร แต่ไม่รู้สึกตัว โดยสถานการณ์ที่ 4 จะอยู่ในช่วงสุดท้ายของสถานการณ์ที่ 1-3 สำหรับแต่ละฉากจะมีเสียงพากย์อธิบายเป็นภาษาไทย และมีค่าบรรยายเป็นตัวอักษรทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ซึ่งการเข้าถึงนวัตกรรมนี้ผู้เล่นต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนที่มีระบบปฏิบัติการเป็นแอนดรอยด์ ระดับ 8+ และใช้รหัสในการเข้าถึง เมื่อเข้าเรียนครบตามที่หลักสูตรการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานฯ และเล่น VR ครบทุกสถานการณ์ ผู้เล่นจะได้รับประกาศนียบัตรผ่านการอบรมหลักสูตรการฝึกช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานในผู้ใหญ่หัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล จากสานักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จุดเด่นของนวัตกรรมนี้คือ สามารถใช้กับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์หลากหลายยี่ห้อ จอภาพสวมศีรษะและอุปกรณ์ควบคุมทิศทางมีราคาเพียงหลักร้อยบาท สามารถซื้อเองหรือยืมจากห้องเสริมศึกษาและสาธิตทางการพยาบาล ผลการทดสอบประสิทธิผลของนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นพบว่า กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองมีคุณลักษณะส่วนบุคคลไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ค่ามัธยฐานคะแนนสอบหลังเรียนของทั้งกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (Z = -4.90, p < .05 และ Z = -5.18, p < .05 ตามลำดับ) เมื่อเปรียบเทียบคะแนนสอบความรู้ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองเฉพาะหลังเรียน พบว่า กลุ่มทดลองมีค่ามัธยฐานคะแนนความรู้หลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (Z =-3.39, p < .05) ด้านทักษะการปฏิบัติช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานและการใช้เครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติพบว่า กลุ่มทดลองมีค่ามัธยฐานคะแนนทักษะการปฏิบัติสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z =-7.26, p < .05) และเปรียบเทียบเวลาตั้งแต่หัวใจหยุดเต้นจนได้รับการกดหน้าอกของกลุ่มทดลองน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z =-5.02, p < .05) ด้านความพึงพอใจของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองการจัดการเรียนการสอนพบว่า ทุกด้านมีระดับความพึงพอใจมาก ค่ามัธยฐานเท่ากับ 5 (IQR = 0) ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีระดับความพึงพอใจไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ Z = -.312, p < .05