DSpace Repository

การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาของจำเลยในชั้นตรวจพยานหลักฐาน

Show simple item record

dc.contributor.author นันทวัฒน์ เมืองไหว en_US
dc.date.accessioned 2025-09-10T06:43:09Z
dc.date.available 2025-09-10T06:43:09Z
dc.date.issued 2568
dc.identifier.uri http://mfuir.mfu.ac.th:80/xmlui/handle/123456789/1106
dc.description การค้นคว้าอิสระ (น.ม.) -- สาขาวิชานิติศาสตร์, สำนักวิชานิติศาสตร์. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, 2568 en_US
dc.description.abstract การตรวจพยานหลักฐานในคดีอาญา คือ กระบวนการที่คู่ความแต่ละฝ่ายจะมีโอกาสทราบว่าพยานหลักฐานที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งประสงค์จะอ้างเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานของฝ่ายตน เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงก่อนการพิจารณาในคดีอาญา โดยก่อนการตรวจพยานหลักฐานมีขั้นตอน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า การยื่นบัญชีระบุพยานซึ่งเป็นระเบียบวิธีพิจารณาที่ใช้กับการอ้างพยานหลักฐานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานบุคคล พยานผู้เชี่ยวชาญ เพราะการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการยื่นบัญชีระบุพยาน ก็เพื่อให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมีโอกาสทราบล่วงหน้าว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะอ้างพยานหลักฐานใดบ้าง เพื่อใช้เป็นพยานในคดี ประเทศไทยใช้ระบบการดำเนินคดีอาญาโดย “หลักการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ” ที่ถือว่ารัฐเป็นผู้มีหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้แก่บุคคลภายในรัฐ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์กรและหน่วยงานที่มีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม โดยใช้วิธีการค้นหาความจริง แบบตรวจสอบข้อเท็จจริง (Examination System) ในระบบกฎหมาย Civil Law และได้รับอิทธิพลแนวความคิดมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งใช้วิธีการค้นหาความจริงแบบต่อสู้ระหว่างคู่ความ ในระบบกฎหมาย Common Law จึงอาจกล่าวได้ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของประเทศไทย มีลักษณะของการผสมผสานระหว่างระบบไต่สวน (Inquisitorial System) และระบบกล่าวหา (Adversarial System) แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏว่า ศาลมักดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีตามแนวทางของระบบกล่าวหาเป็นหลัก โดยคู่ความทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างมีหน้าที่ต้องค้นหาความจริงและรวบรวมพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลเพื่อประโยชน์ในคดีของตน โดยศาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางคอยควบคุมการพิจารณาและการดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ ศาลจะพิจารณาและพิพากษาคดี โดยอาศัยพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำมาเสนอต่อศาล จากการศึกษาพบว่าบทบัญญัติมาตรา 173/1 และมาตรา 173/2 แห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญานั้น ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกับหลักการเปิดเผยพยานหลักฐานก่อนการพิจารณาคดี อันเป็นแนวคิดสำคัญที่ได้รับการพัฒนาในระบบกฎหมาย Common Law ที่ให้ความสำคัญต่อหลักการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างเป็นธรรม (Fair Trial) แต่จากบทบัญญัติดังกล่าว อาจสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติที่ดูเสมอภาค แต่เมื่อพิจารณาในเชิงเนื้อหาสาระแล้ว อาจขัดกับหลักความเสมอภาค กล่าวคือ พนักงานอัยการในฐานะตัวแทนของรัฐมีความพร้อมในด้านข้อมูลและพยานหลักฐาน เนื่องจากผ่านกระบวนการสอบสวนมาแล้วโดยละเอียด แต่จำเลยมักเป็นบุคคลธรรมดาที่ขาด ความรู้ความเข้าใจทางกฎหมาย ทรัพยากร และเวลาที่เพียงพอในการเตรียมการต่อสู้คดี ด้วยเหตุนี้ กระบวนการดังกล่าว จึงอาจเป็นการปฏิบัติต่อบุคคลที่อยู่ในสถานะไม่เท่าเทียมกัน ในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ดังนั้น จึงควรมีการแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติมาตรา 173/1 และมาตรา 173/2 เพื่อให้จำเลยมีโอกาสได้รับทราบว่าโจทก์มีพยานหลักฐานใดบ้างที่จะนำมาพิสูจน์ความผิดกับตน และจะมีระยะเวลาที่เพียงพอในการตรวจสอบพยานหลักฐานและแสวงหาพยานหลักฐานก่อนการยื่นบัญชี ระบุพยานของตน อันสอดคล้องกับมาตรา 229/1 เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับจำเลยมีความพร้อม ในการเตรียมการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่และเป็นธรรม en_US
dc.language.iso th en_US
dc.publisher มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ศูนย์บรรณสารและสื่อการศึกษา en_US
dc.subject บัญชีระบุพยาน en_US
dc.subject การตรวจพยานหลักฐาน en_US
dc.subject ความเสมอภาค en_US
dc.subject การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม en_US
dc.title การยื่นบัญชีระบุพยานในคดีอาญาของจำเลยในชั้นตรวจพยานหลักฐาน en_US
dc.title.alternative The submission of an evidence list by accused in criminal case at the evidence examination stage en_US
dc.type Thesis en_US
dc.contributor.advisor ยศพนธ์ นิติรุจิโรจน์ en_US


Files in this item

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record

Search DSpace


Advanced Search

Browse

My Account